ฮินดู-มุสลิม รวมพลังเรียกร้องสันติ เหตุพวกหัวรุนแรงเผาทรัพย์สินมุสลิม

ADMIN

สำนักข่าวมุสลิมไทยโพสต์: ฮินดู-มุสลิม รวมพลังเรียกร้องสันติ เหตุเผาทรัพย์สินมุสลิม

ฮินดู-มุสลิม ร่วมใจเดินเรียกร้องสันติ หลังเกิดเหตุฮินดูหัวรุนแรงเผาทรัพย์สินชาวมุสลิม

เย็นวันที่ 24 เมษายน ที่ผ่านมา ชาวฮินดูและชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในเขต C ของจาฮันกีรปุรี ซึ่งเป็นจุดที่เกิดเหตุชาวฮินดูหัวรุนแรงเผาทรัพย์สินของชาวมุสลิม เมื่อวันที่ 16 เมษายน ร่วมกันเดินเรียกร้องสันติภาพ หรือที่เรียกว่า “ติรันกา ยาตรา – Tiranga Yatra)”

การเดินรณรงค์นี้ผ่านการขออนุญาตจากทางการ และตำรวจเดลฮีได้เกณฑ์กำลังพลมารักษาความปลอดภัยจำนวนมาก โดยอนุญาตให้มีผู้มาร่วมรณรงค์จาก 2 ฝั่ง รวมประมาณ 100 คน ผู้เดินขบวนโบกธงชาติอินเดีย และตะโกนคำขวัญแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่าง ชาวฮินดู มุสลิม และชาวซิกข์ โดยมีประชาชนที่ไม่ได้ออกมาร่วมเดินแต่ยืนดู โบกธง และโปรยดอกไม้หลากสีให้กำลังใจอยู่ที่หน้าต่าง และระเบียงบ้านเป็นจำนวนมาก

อุชา รังนานี สมาชิก DCP North-West กล่าวว่า การรณรงค์ครั้งนี้สื่อถึงความกลมเกลียวกันและความต้องการสันติ และสื่อถึงความสามัคคีระหว่างคนในชาติ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด

ผู้ร่วมเดินขบวนมีจำนวนมากกว่าที่ได้รับอนุญาต เพราะขบวนยาวเกือบ 1 กิโลเมตร ทั้งในและรอบบริเวณบล็อค C ของกรุงนิวเดลฮี

ชาวบ้านมุสลิมกล่าวว่า พวกเขามีความสุขมากที่ได้เห็นความคิดริเริ่มในเรื่องนี้ เพราะแสดงให้เห็นถึงภาพที่แท้จริงของชุมชนในจาฮันกีร์ปุรี พวกเขาคาดหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยฟื้นฟูความสันติ

นายอินทรมณี ทิวารี ประธานชุมชนฮินดู กล่าวแสดงความหวังว่า การชุมนุมครั้งนี้จะช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชุมชน และนำความเชื่อมั่นกลับคืนมาสู่ชาวบ้าน

พ่อค้า นายราเกช เมฮ์รา กล่าวว่า การรณรงค์ครั้งนี้เป็นก้าวแรกสู่ความสงบสันติ และแสดงความมั่นใจว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากคนนอกชุมชน ที่พยายามสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้น

อิชรอร ข่าน ซึ่งเปิดร้านขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เล่าว่า ร้านของเขาบางส่วนถูกทำลายโดยกลุ่มชาวฮินดูหัวรุนแรง เขารู้สึกปวดร้าวเมื่อผู้ที่บุกทำลายร้านเรียกเขาว่า “ชาวบังคลาเทศ” ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นชาวอินเดียแท้ ๆ

ชาวชุมชนมุสลิมกล่าวว่า ถึงแม้ทุกอย่างจะยังไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่พวกเขาคาดหวังว่าในเวลาไม่กี่วันข้างหน้าความสงบจะกลับคืนมา

ที่มา: www.thewire.in

https://news.muslimthaipost.com/news/36211