ความน่าสะพรึงกลัวของ “อิสรออีล” มาลาอีกัตแห่งความตาย

ADMIN

#มะลาอิกะฮ์ผู้ปลิดวิญญาณ(เทวทูตแห่งความตาย)
มุสลิมจำเป็นต้องศรัทธาว่า เมื่อความตายมาถึง จะมีเทวทูตแห่งความตาย ถูกมอบหมายจากพระผู้เป็นเจ้าให้ทำหน้าที่ปลิดวิญญาณมนุษย์

#ดังที่พระองค์ทรงตรัสยืนยันว่า !!
“(มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิด มะลัก(เทวทูต)ผู้ปลิดชีวิต ผู้ได้รับมอบหมายเกี่ยวกับพวกท่าน จะปลิดชีวิตของพวกท่าน แล้วพวกท่านจะถูกนำกลับไปยังพระเจ้าของพวกท่าน” ( อัซซะญะดะฮ์ 32 /11 )

?ท่านอิหม่าม กุรฏุบีย์ -ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ- ซึ่งเป็นนักอรรถาธิบายอัลกุรอานอาวุโสที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอบรับอย่างสูงในวงการมุสลิม ได้อธิบายถึงลักษณะความน่าสะพรึงกลัวของเทวทูตแห่งความตายไว้ว่า :

“(อัลลอฮ์ ทรงรู้ดียิ่ง) ศรีษะของท่านจะอยู่ ณ ฟากฟ้า และเท้าของท่าน จะอยู่ ณ แผ่นดิน โลกดุนยาจะอยู่ในกำมือของท่าน เสมือนถ้วยชามที่อยู่ในมือของผู้ที่กำลังรับประทานอาหาร ท่านจะมองหน้ามนุษย์ 366 ครั้งต่อวัน ท่านจะยืนมองโลกใบนี้ เหมือนคนๆหนึ่งที่มองไข่ฟองหนึ่งที่อยู่ระหว่างขาทั้งสองของเขา ซึ่งมลาอิกะฮ์ ( เทวทูต )แห่งความตายนั้น มีบริวารอยู่มากมาย มีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ทราบถึงจำนวนอันแน่นอน เทวทูตท่านอื่นๆจะเกรงกลัวเทวทูตแห่งความตาย มากกว่าที่คนหนึ่งคนใดในพวกท่านหวาดกลัวเสือร้ายเสียอีก”

คำอธิบายนี้เป็นเพียงบางส่วนของความน่าสะพรึงกลัวของเทวทูตแห่งความตาย ใครก็ตามที่เห็น ความหวาดกลัวจะเข้าไปสู่จิตใจของผู้นั้นทันที ลักษณะของเทวทูตแห่งความตายนั้น ไม่สามารถที่จะอธิบายได้อย่างชัดเจน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นบทสรุปจากตัวบทฮะดีสหลายๆบทด้วยกัน ซึ่งเป็นความจริงที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

#สภาพผู้ที่วิญญาณจะออกจากร่าง
ความตายจะมาพร้อมกับความเจ็บปวด มึนงง และทุกข์ทรมานแก่ทุกคนที่ก้าวสู่ประตูแห่งความตาย

#พระคัมภีร์อัลกุรอานได้ระบุว่า !!
“และอาการมึนงงแห่งความตายได้ปรากฏขึ้นอย่างประจักษ์แจ้ง และนั่นคือสิ่งที่เจ้าจะหลีกเลี่ยงจากมันไปไม่ได้ ” ( ก็อฟ 50 / 19 )

#ท่านอิหม่ามอิบนุกะซีรร่อฮิมะฮุ้ลลอฮกล่าวว่า !!
“เมื่อเทวทูตแห่งความตายบอกเขาถึงการทรมาน และความโกรธกริ้วของอัลลอฮ ที่มีต่อเขาแล้ว เทวทูตก็จะกระชากวิญญาณออกจากร่าง แต่เขาจะขัดขืนไม่ยอมออกจากร่าง เทวทูตแห่งความตายก็จะกระหน่ำตีร่างผู้นั้น จนกระทั่งวิญญาณยอมออกจากร่าง ”

#พร้อมกับกล่าวดำรัสของพระองค์ที่ว่า !!
“จงให้ชีวิตของพวกเจ้าออกมา วันนี้พวกเจ้าจะได้รับการตอบแทน ซึ่งโทษแห่งความต่ำต้อย เนื่องจากที่พวกเจ้ากล่าวให้ร้ายแก่อัลลอฮโดยปราศจากความจริง ” ( อัล-อันอาม 6 / 93 )

#ท่านอิหม่ามอิบนุกะซีรกล่าวต่ออีกว่า !!
“หลังจากที่วิญญาณออกจากร่างแล้ว ผู้ตายจะอยู่ในโลกหลังความตาย จนถึงวันฟื้นคืนชีพ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งเร้นลับ ที่มุสลิมจำเป็นต้องศรัทธาว่า สิ่งที่มีระบุไว้ในพระคัมภีร์และในวจนะของท่านศาสดา นั้นเป็นความจริง ถ้าผู้ใดปฏิเสธเรื่องดังกล่าวว่าไม่จริงแล้ว ก็ถือว่าเขาได้ปฏิเสธศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง ”

#โลกหลังความตาย( อาลัม บัรซัค )
?ความหมายทางภาษา
“ บัรซัค ” เป็นภาษาอาหรับ หมายถึง สิ่งกีดกั้น ( a barrier )หรือ ที่จำแนกระหว่างสิ่งสองสิ่ง

?ความหมายทางศาสนา
– ช่วงเวลาอันเป็นที่พำนักของผู้ตายในหลุมฝังศพ ก่อนการฟื้นคืนชีพ

– เวลาคั่นกลางระหว่างโลกแห่งผัสสะทั้งสอง คือโลกนี้และโลกหน้า

?และถือได้ว่าตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ยังเป็นที่พำนักแห่งการตอบแทนอันผาสุกหรือการลงทัณฑ์อันเจ็บปวดทรมานที่ถาวรอีกด้วย

#พระคัมภีร์อัลกุรอานระบุถึงบัรซัคว่า !!
“จนเมื่อความตายได้มาถึงใครคนหนึ่งของพวกเขา เขาได้กล่าวว่า โอ้ พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์

ได้โปรดให้ข้าพระองค์กลับไปมีชีวิตอีกครั้งหนึ่งเถิด เพื่อว่าข้าพระองค์จะได้ทำความดี ในสิ่งที่ข้าพระองค์ได้ละทิ้งไว้

เปล่าเลย มันเป็นเพียงถ้อยคำที่เขากล่าวมันไว้เท่านั้น และเบื้องหลังพวกเขายังมีบัรซัคขวางกั้น อยู่จนถึงวันที่พวกเขาจะถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมา”

( อัล-มุอฺมินูน 23/ 99-100 )

?การที่พระคัมภีร์อัลกุรอาน ได้อรรถาธิบายเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตหลังความตายไว้นั้น เป็นสิ่งที่สำนึกแห่งคุณธรรมของมนุษย์ต้องการ โดยแท้จริงแล้วในเรื่องชีวิตหลังความตายนั้น มีความสัมพันธ์กับการศรัทธาในพระเจ้า หรืออีกนัยหนึ่ง ถ้าเลือกศรัทธาเฉพาะเรื่องเดียว คือศรัทธาในพระเจ้า ก็ย่อมไม่เป็นการเพียงพอ

?การศรัทธาในชีวิตหลังความตาย ไม่เพียงแต่เป็นการประกันความสำเร็จแก่ชีวิตในโลกหน้าเท่านั้น แต่ยังทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยความสงบสุข ด้วยการทำให้มนุษย์รู้จักตระหนักในหน้าที่ และรับผิดชอบอย่างเต็มที่

?จากประวัติศาสตร์ในอดีต เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า ชาวอาหรับในยุคสมัยที่ยังไม่ยอมเชื่อในเรื่องราวชีวิตหลังความตาย จะเห็นได้ว่าวิถีชีวิตหลักๆของพวกเขาดำรงอยู่บนการพนัน สุรายาเมา การสู้รบระหว่างเผ่าพันธุ์ การปล้นสดมภ์ คดโกง และฆาตกรรม แต่เมื่อเขาเหล่านั้นยอมรับศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว และเรื่องชีวิตหลังความตายแล้ว พวกเขากลับกลายเป็นประชาชาติที่มีระเบียบวินัยที่สุดในโลก ทิ้งความชั่วร้ายเลวทราม มีการช่วยเหลือกันและกันในยามแห่งความต้องการ ยุติการโต้เถียงด้วยกับความยุติธรรม และความเสมอภาคกัน

?ดังนั้น จึงอาจประมวลถึงเหตุผลที่ทำให้สมควรเชื่อในเรื่องการศรัทธาเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายไว้ดังนี้

1. บรรดาศาสนทูตทุกท่าน ล้วนเรียกร้องเชิญชวนประชาชาติของท่านให้ศรัทธาในเรื่องนี้

2. คราใดที่สังคมมนุษย์ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการศรัทธานี้ ย่อมจะก่อให้สังคมนั้น เป็นสังคมในอุดมคติที่มีแต่ความสงบสุขที่สุด ปลอดจากความชั่วร้ายทางสังคมและจิตใจ

3. ประจักษ์พยานในประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า คราใดที่กลุ่มชนตั้งป้อมปฏิเสธศรัทธาในข้อนี้ แทนที่จะน้อมรับคำตักเตือนของศาสนทูตที่ได้ประกาศครั้งแล้วครั้งเล่า ครานั้นบรรดาชนกลุ่มนั้นทั้งหมด จะต้องถูกลงทัณฑ์จากพระผู้เป็นเจ้า

4. คุณธรรม ความงาม และความมีเหตุมีผลของมนุษย์ได้เห็นสอดคล้องกันกับความเป็นไปได้ในเรื่องของชีวิตหลังความตาย

5. คุณลักษณะอันทรงเกียรติของพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับความยุติธรรม และปรานีเสมอ ย่อมมีความหมายต่อเรื่องของชีวิตหลังความตาย

#การตอบแทนในหลุมฝังศพ
การศรัทธาว่ามีการตอบแทนและการลงโทษในหลุมฝังศพนั้นเป็นความจริง ถือเป็นหนึ่งในหลักการศรัทธาที่มุสลิมทุกคนจำเป็นต้องเชื่อมั่น เพราะทั้งในพระคัมภีร์และในวจนะของท่านศาสดาได้ระบุยืนยันเอาไว้อย่างชัดเจน มุสลิมเชื่อมั่นว่า ภายหลังจากแผ่นดินกลบใบหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ร่างกายจะไม่ไหวติง แต่วิญญาณของเขาจะยังคงรู้สึกและมีชีวิตเป็นนิรันดร์ ก้าวแรกที่เข้าสู่โลกแห่งใหม่ ที่เรียกว่าโลกแห่งหลุมฝังศพ หรือโลกแห่งวิญญาณ เขาจะดำเนินตามกฎระเบียบโลกแห่งนี้ ด้วยการได้รับผลกรรมตามที่ได้ประกอบไว้ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต

ฉะนั้น ชีวิตในหลุมฝังศพ ซึ่ง ณ ที่นี้ย่อมรวมถึง ผู้ตายในทุกสภาพ ไม่ว่าจะถูกเผาหรือถูกสัตว์ร้ายเขมือบจนกลายเป็นผุยผง ล้วนแล้วแต่ก้าวเท้าเข้าสู่โลกหลังความตายอย่างพร้อมเพรียงและได้รับการตอบแทนตามผลกรรมอย่างครบถ้วนเช่นกัน

#ท่านศาสดามูฮัมหมัดได้กล่าวว่า !!
“ หลุมฝังศพนั้น คือบ้านหลังแรกของบ้านทั้งหลายในโลกหน้า

ใครก็ตามที่ปลอดภัยในบ้านหลังนั้น สิ่งที่ตามมาภายหลังย่อมง่ายดายสะดวกสบายยิ่งกว่า และ

ใครที่ไม่ปลอดภัยในบ้านหลังนั้น สิ่งที่ตามมาภายหลังย่อมรุนแรงยิ่งกว่านัก”

( บันทึกโดย อิหม่าม ติรมีซียฺและ อิบนุมาญะฮฺ)

?ลุมฝังศพจึงเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งจากสรวงสวรรค์ หรือเป็นส่วนหนึ่งจากขุมแห่งเปลวเพลิงได้ในเวลาเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่า เจ้าของบ้านหลังนั้นเป็นคนเช่นไร

#ชีวิตในหลุมฝังศพ
ชีวิตในบ้านหลังใหม่ เริ่มต้นจากวินาทีแรกที่วิญญาณถูกนำออกจากร่าง ผู้ตายจะยังคงรู้สึก ยังคงมองเห็น และยังคงได้ยิน ความเปลี่ยนแปลงรอบกายของเขา การรับรู้ทุกอย่างยังคงเดิม ต่างแค่เพียงไม่มีใครจะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงและความเป็นไปของเขาได้อีก

#วจนะของท่านศาสดามูฮัมหมัดได้ระบุว่า !!
“ แท้จริง บ่าวนั้น เมื่อเขาถูกวางลงในหลุมฝังศพของเขา และบรรดามิตรสหายได้ให้หลังจากเขาไป เขาจะได้ยินเสียงกระทบของรองเท้าของพวกเขา แล้วจะมีเทวฑูตสองท่านมาหาเขา ให้เขาลุกขึ้นนั่ง

?เทวทูตทั้งสองจะกล่าวว่า :
ท่านกล่าวเช่นไรถึงคนคนนี้ มุฮัมหมัด ?

?ผู้มีศรัทธาก็จะตอบว่า :
ฉันขอปฏิญาณว่า เขาเป็นบ่าว และทูตของอัลลอฮ

?เทวทูตจะกล่าวกับเขาว่า :
จงมองดูที่พำนักของท่านในสรวงสวรรค์เถิด แล้ว เขาได้เห็นมันทั้งหมด”

( บันทึกโดย อิหม่าม บุคอรีและมุสลิม )

#ศาสดามูฮัมหมัดได้กล่าวอีกว่า !!
“ หลุมฝังศพ เปรียบได้กับส่วนหนึ่งของกลางคืนที่มืดสนิท หากท่านทั้งหลายรู้ดังที่ฉันรู้

ท่านทั้งหลายจะร้องไห้อย่างมาก และจะหัวเราะแต่น้อย ท่านทั้งหลาย จงขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ ให้พ้นจากการลงทัณฑ์ในหลุมฝังศพ

แท้จริง การลงทัณฑ์ในหลุมฝังศพนั้น เป็นความจริง”

( บันทึกโดย อิหม่าม อะฮฺหมัด )

#หลุมฝังศพ
“ ความตาย ” สัจธรรมอันจริงแท้ที่ไม่อาจปฏิเสธ ภาวะความจริงที่มนุษย์หวาดกลัวและคิดว่าห่างไกลจากตนที่สุด ทั้งที่ความจริงแล้ว มันใกล้ชิดและตามติดกระชั้น ยิ่งกว่าเงาที่ตามติดร่างกาย เลขอายุที่เดินไปข้างหน้า กำลังบอกกล่าวตัวเลขแห่งเวลา ที่นำพามนุษย์ก้าวเท้าเข้าหาอ้อมแขนของ

“ ความตาย ”ในทุกขณะ เมื่อทุกชีวิตล้วนมีความตาย เป็นสิ่งสุดท้ายที่ให้ลิ้มลองรสชาติ จะเร็วหรือช้ารสชาตินั้นย่อมเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่สุดเสมอ สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ความตายเป็นอย่างไร มีรูปร่างหน้าตาเช่นไร หากแต่ภาวะก่อนก้าวสู่ประตูแห่งความตาย และภาวะหลังจากเป็นสมาชิกหนึ่งในหมู่ผู้ไร้วิญญาณต่างหาก ที่สำคัญและจำเป็นที่มนุษย์พึงพิจารณา และ อิสลามเป็นศาสนาหนึ่งที่สอนให้ตระหนักถึงความตายเสมอ

#พระคัมภีร์อัลกุรอานได้ย้ำถึงสัจธรรมข้อนี้ว่า !!

“ทุกชีวิตย่อมลิ้มรสความตาย”

( อัล-อัมบิยาอ์ 21/35 )

?อิสลามปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎ ปฏิเสธความเชื่อเรื่องชาติภพ เมื่อผ่านพ้นจากโลกนี้ไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนจบสิ้น มีเพียงแต่วิญญาณและการงานของมนุษย์เท่านั้นที่จะยังคงอยู่เพื่อรอรับการพิพากษาของพระผู้เป็นเจ้าในโลกหน้า

?หากแต่อิสลามมีคำสอนที่ให้รายละเอียดในช่วงเวลาอันลี้ลับที่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์เพื่อยืนยันในข้อเท็จจริงได้ นอกจากผู้ที่เข้าไปสัมผัสอย่างไม่มีวันถอนตัวกลับมาได้อีกอย่างเด็ดขาด ซึ่งอิสลามถือเป็นหลักศรัทธา ที่มุสลิมจำเป็นต้องเชื่อมั่นโดยปราศจากการสงสัยใดๆ อิสลามไม่เคยวางบทบัญญัติใดที่สติปัญญาไม่ยอมรับ แต่สามารถมอบสิ่งที่เกินกว่าสติปัญญามนุษย์จะหยั่งถึง เพื่อเป็นการทดสอบและประเมินผู้ศรัทธา

?บทความนี้เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงตามนัยอิสลามเกี่ยวกับภาวะมนุษย์หลังความตาย โดยประมวลไว้ด้วยเรื่องของความหมาย และรายละเอียดในโลกหลังความตาย สภาพวิญญาณและการตอบแทนที่ผู้ตายจะต้องประสบ ตามตัวบทและหลักฐานที่ถูกต้องชัดเจนของศาสนา ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะทำให้ท่านรู้จักและรับทราบถึงทัศนะของอิสลามที่มีต่อชีวิตหลังความตายได้ดียิ่งขึ้น อินชาอัลลอฮ์

#การศรัทธาในสิ่งเร้นลับ
การศรัทธาในสิ่งเร้นลับ เป็นหลักของทุกศาสนาที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ทั้งนี้ก็เพราะข้อจำแนกระหว่างผู้ที่นับถือศาสนากับผู้ที่ไม่นับถือศาสนานั้นอยู่ที่การศรัทธาในสิ่งเร้นลับ และศรัทธาว่าเบื้องหลังเเห่งวัตถุนั้นมีพลังอื่นอยู่ นอกเหนือจากวัตถุ ดังนั้น ผู้ที่ศรัทธาต่อสิ่งเร้นลับ ถือว่าเป็นผู้รับนับถือศาสนา ตรงกันข้าม ผู้ที่ปฏิเสธหรือไม่ศรัทธาในสิ่งเร้นลับ ก็ถือว่าปฏิเสธศาสนา ด้วยเหตุนี้จึงไม่พบว่าศาสนาที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ปราศจากการศรัทธาในสิ่งเร้นลับ หมายถึงศรัทธาในพลังซึ่งอยู่เบื้องหลังแห่งวัตถุ ดังนั้น การมีศรัทธาในอัลลอฮ โดยปราศจากการมีศรัทธาในสิ่งเร้นลับ จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

#ในการนี้อัลลอฮ์ได้ทรงระบุลักษณะของบรรดาผู้ศรัทธาไว้ดังต่อไปนี้

“คือบรรดาผู้ศรัทธาต่อสิ่งเร้นลับ และพวกเขาดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และส่วนหนึ่งจากสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยแก่เขานั้น พวกเขาก็บริจาค

และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้า และสิ่งที่ถูกประทานลงมาก่อนหน้าเจ้า และต่อวันปรโลกนั้น พวกเขาเชื่อมั่น”

( อัล-บะเกาะเราะฮ์ 2 / 3-4 )

?การศรัทธาในสิ่งเร้นลับนั้น ทำให้จำเป็นต้องศรัทธาในบรรดาเทวทูต(มะลาอิกะฮ์ )ซึ่งเป็นวิญญาณอันบริสุทธิ์ และศรัทธาในสิ่งที่ถูกบังเกิด อันพ้นญาณวิสัย และจะต้องศรัทธาว่า ชีวิตความเป็นอยู่ในโลกนี้ เป็นชีวิตที่ไม่ยั่งยืน ส่วนชีวิตอันยั่งยืนนิรันดรนั้น คือชีวิตความเป็นอยู่ในปรโลก ( อาคิเราะฮ์ )

?อิสลามจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการศรัทธาในปรโลก เพราะเมื่อศรัทธาในปรโลกย่อมหมายรวมถึง การศรัทธาต่อสิ่งเร้นลับทั้งมวล และเน้นย้ำว่ามนุษย์ทุกคนจะต้องฟื้นคืนชีพเพื่อรับการตอบแทนอย่างแน่นอน

#พระคัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวไว้ว่า !!
“พวกเจ้าคิดว่า แท้จริงเราได้ให้พวกเจ้าบังเกิดมาโดยไร้ประโยชน์ และแท้จริงพวกเจ้าจะไม่กลับไปหาเรากระนั้นหรือ” ( อัล-มุมินูน 23 / 115)

?หลักฐานการศรัทธาต่อสิ่งเร้นลับ มาจากการรับฟังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงมีชื่อเรียกว่า “ ซัมอียาต” หมายถึง บรรดาสิ่งที่ได้รับฟัง เพราะสิ่งเหล่านั้นมาถึงเราได้ด้วยคำบอกเล่าจากพระคัมภีร์และวจนะศาสดาเท่านั้น อันได้แก่เรื่องเร้นลับที่เกินกว่าสติปัญญาของมนุษย์จะเข้าใจได้ด้วยผัสสะ อาทิเช่น เรื่องเทวทูต ซาตาน วิญญาณ การทรมานในหลุมฝังศพ การฟื้นคืนชีพ ตลอดจนสวรรค์และนรก

?ซึ่งในการศรัทธาของมุสลิมในสิ่งเร้นลับเหล่านี้ จำเป็นต้องยึดหลักการที่ถูกต้อง จากหลักฐานที่ชัดเจน ซึ่งก็คือ อัลกุรอาน และวจนะศาสดา ( ที่ถูกรายงานต่อเนื่องกันมาโดยผู้รายงานจำนวนมาก )เพื่อป้องกันความผิดพลาดและห่างไกลจากการหลงผิด

#เรื่องของวิญญาณ
ไม่มีใครหยั่งรู้สภาพของวิญญาณ ว่ามีลักษณะ รูปร่าง แก่นแท้ เป็นเช่นไร นอกจากผู้สร้างวิญญาณเท่านั้นที่ทรงทราบดีที่สุด เรื่องของวิญญาณจึงจัดเป็นเรื่องเร้นลับที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งพระองค์ได้ทรงห้ามการเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องนี้

#ดังดำรัสของพระองค์อัลลอฮฺที่ว่า !!
“และพวกเขาจะถามเจ้า เกี่ยวกับวิญญาณจงกล่าวเถิดว่า เรื่องวิญญาณนั้นเป็นไปตามพระบัญชาของพระเจ้าของฉัน และพวกท่านจะไม่ได้รับความรู้ใดๆ เว้นแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น” ( อัลอิสรออ์17/ 85 )

?พอเพียงแล้วสำหรับมนุษย์ ที่จะรู้ว่า การมีอยู่ของวิญญาณคือการมีอยู่ของชีวิต และการจากไปของวิญญาณคือการสิ้นสุดของชีวิต เพราะการที่มนุษย์พยายามจะไขว่คว้าในสิ่งที่พระองค์ทรงเก็บไว้เป็นเรื่องลับเฉพาะของพระองค์ เท่ากับกำลังดิ้นรนหาคำตอบในสิ่งที่พ้นญาณวิสัย ซึ่งไม่ว่าจะพยายามสักเท่าใดก็ยังคงไร้ความสามารถอยู่นั่นเอง

?วิญญาณเป็นหนึ่งในสรรพสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงบังเกิด วิญญาณไม่ใช่สิ่งดั้งเดิม แต่เมื่อถูกบังเกิดแล้ว จะมีสภาพเป็นอมตะ ไม่สูญสลายอีกต่อไป และสิ่งหนึ่งที่เรารับรู้จากเรื่องของวิญญาณ คือ เมื่อวิญญาณออกจากร่าง วิญญาณยังคงรับรู้ ได้ยิน จำผู้มาเยี่ยม ตอบรับสลาม ( คำทักทาย ) และได้รับผลานิสงค์จากผลกรรมที่ได้ประกอบไว้

#ท่านอิบนุก็อยยิมร่อฮิมะฮุ้ลลอฮกล่าวว่า !!
“จากการตรวจสอบในวจนะของท่านศาสดา พบว่า วิญญาณนั้น รู้ถึงความเป็นไปของญาติมิตรที่ยังมีชีวิตอยู่ วิญญาณเห็น วิญญาณรับรู้ วิญญาณมีความพึงพอใจและทุกข์ใจกับการกระทำของเขาเหล่านั้น”

#ความสัมพันธ์ระหว่างวิญญาณกับร่างกาย
อิสลามจำแนกโลกที่มนุษย์จำเป็นต้องพำนักอาศัยออกเป็น 3 ช่วงเวลาด้วยกันคือ

?1. โลกดุนยา ( โลกนี้ )

?2. โลกหลังความตาย

?3. โลกอาคิเราะฮฺ (ปรโลก)

#ในแต่ละสภาวะมีความแตกต่าง
ดังนั้นกฎเกณฑ์ตลอดจนการดำรงอยู่ของมนุษย์ในช่วงระยะเวลาทั้งสาม ย่อมแตกต่างกัน และไม่สามารถนำมาเทียบเคียงกันได้ ตัวอย่างเช่น พระผู้เป็นเจ้าได้กำหนดให้การมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ในโลกนี้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ถูกกำหนดเฉพาะแก่โลกนี้ มนุษย์มีความสามารถเฉพาะที่จะหยั่งรู้ในสิ่งที่พระองค์ทรงขีดกรอบไว้สำหรับโลกนี้เท่านั้น สติปัญญาจะไร้ความสามารถทันทีในส่วนที่นอกเหนือกรอบของพระองค์ที่ได้ทรงขีดเอาไว้ เพราะในเมื่อทั้ง 3 โลกมีสภาวะที่ต่างกัน กฎเกณฑ์ และสภาพความเป็นอยู่ก็ย่อมไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน

#ในสภาวะแห่งโลกนี้
พระผู้เป็นเจ้าได้กำหนดสภาพกฎเกณฑ์แก่ร่างกาย โดยมีวิญญาณเป็นผู้ตาม ส่วนสภาพกฎเกณฑ์ในโลกหลังความตาย ได้ถูกกำหนดแก่วิญญาณ โดยมีร่างกายเป็นผู้ตาม และสำหรับ สภาพกฎเกณฑ์แห่งปรโลก พระองค์ได้ทรงวางไว้เพื่อร่างกายและวิญญาณโดยพร้อมเพรียง หากพิจารณาระหว่างร่างกาย กับ วิญญาณ มีความเกี่ยวพันในช่วงใด อย่างไรบ้าง

#ก็จะพบระดับความสัมพันธ์ของทั้งสองดังนี้

?1. ความสัมพันธ์ของวิญญาณต่อร่างกายขณะเป็นทารกในครรภ์มารดา

?2. ความสัมพันธ์ของวิญญาณต่อร่างกายเมื่อพ้นจากครรภ์มารดาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

?3. ความสัมพันธ์ของวิญญาณต่อร่างกายขณะหลับ มีช่วงที่ข้องเกี่ยวและแยกจาก

?4. ความสัมพันธ์ของวิญญาณต่อร่างกายในโลกหลังความตาย

?5. ความสัมพันธ์ของวิญญาณต่อร่างกายในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ อันเป็นสัมพันธภาพที่สมบูรณ์ ปราศจากการแยกจาก ไม่สิ้นสุดด้วยความตายหรือการทำลาย

#เรียบเรียงโดย เฟาซี บิน รอยาลี