
สาเหตุของการถูกทรมานในหลุมฝังศพ(กุบูรฺ)
เราสามารถแบ่งสาเหตุของการถูกทรมานในหลุมฝังศพได้เป็น 2 ชนิด ซึ่งมีดังต่อไปนี้ คือ
#หนึ่ง : สาเหตุโดยรวม นั่นคือ การที่ถูกทรมานเพราะความไม่รู้ในเรื่องเกี่ยวกับศาสนาของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) และการบกพร่องและไม่ปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ และการละเมิดฝ่าฝืนพระองค์
#สอง : สาเหตุปลีกย่อย ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ?
การไม่ปกปิดหรือไม่สำรวมเวลาปัสสาวะ
วาญิบสำหรับมุสลิมทุกคนทั้งในเวลาขับถ่ายและเวลาอื่น ต้องปกปิดอวัยวะให้พ้นจากสายตาของคนอื่น แม้ว่าจะเป็นมารดา พี หรือน้องสาวที่เป็นมะฮฺรัมกับตน (แต่งงานกันไม่ได้) หรือคนวิกลจริตที่บางครั้งอาจมีสติ ตลอดจนเด็กที่สามารถแยกแยะสิ่งถูกผิดได้ ยกเว้นสามีกับภรรยาไม่จำเป็นต้องปกปิดซึ่งกันและกัน
การใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น
มีรายงานจากท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.ได้เล่าว่า :
ครั้งหนึ่งท่านนบี ซ.ล. ได้เดินผ่านสองกุบูร และได้กล่าวว่า “แท้จริงทั้งสอง (ที่ถูกฝังในกุบูรฺ) กำลังถูกลงโทษ และมิได้ถูกลงโทษเพราะเรื่องบาปใหญ่ นั่นคือคนหนึ่งนั้น (ตอนมีชีวิตอยู่) มิได้ระมัดระวังและทำให้สะอาดจากการปัสสาวะ และอีกคนหนึ่งเขาได้พูดนินทาใส่ร้ายผู้อื่น
หลังจากนั้นท่านนบี ซ.ล.ได้เอาเศษไม้จากต้นอินทผลัมที่ยังชื้นอยู่และได้หักเป็นสองท่อน และได้วางลงบนสองกุบูรฺนั้น
ศอฮาบะฮฺได้ถามว่า !!
“โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ท่านทำอย่างนั้นเพื่ออะไร?”
ท่านนบีตอบว่า !!
“เพื่อว่าบางทีอาจจะช่วยลดการลงโทษที่ทั้งสองได้รับตราบใดที่มัน (เศษไม้ของต้นอินทผลัม) ยังไม่แห้ง” บันทึกโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม”
ท่านหญิงอาอีชะฮฺ ร.ฎ.ได้เล่าว่า :
ครั้งหนึ่งมีหญิงชาวยิวได้เข้ามาหาฉัน และกล่าวว่า แท้จริงการลงโทษในกุบูรฺ (หลุมฝังศพ) มาจากการปัสสาวะ ฉันกล่าวแก่นางว่า เจ้าพูดเท็จ แต่นางได้ยืนยันว่าใช่ และกล่าวว่า แท้จริงพวกเรา (ชาวยิว) จะตัดหนังและเสื้อผ้าเพื่อทำความสะอาดปัสสาวะ (อาจเป็นหนังที่สวมใส่หรือผิวหนังก็ได้) ท่านนบี ซ.ล.กำลังจะไปละหมาด และได้ยินเสียงเรากำลังโต้เถียงกัน
ท่านนบีถามว่าเกิดอะไรขึ้น !!
“ท่านหญิงจึงเล่าเรื่องนี้ให้ท่านนบีฟัง”
ท่านนบีจึงได้กล่าวว่า !!
“แท้จริงหญิงชาวยิวคนนั้นได้พูดจริง”
ท่านหญิงอาอีชะฮฺได้เล่าต่อไปว่า !!
“หลังจากเหตุการณ์นั้น ท่านนบีจะกล่าวดุอาอฺทุกๆครั้ง หลังละหมาดว่า”
” โอ้พระผู้อภิบาลของญิบรีล และมิกาอีล และอิสรอฟีล ขอพระองค์โปรดทำให้ฉันห่างไกลจากเปลงไฟแห่งนรกและการทรมานในกุบูรฺ” (บันทึกโดยอันนะซาอีย์)
#ฮะดีษที่ได้กล่าวมานี้ได้กล่าวถึงการที่บรรดาชาวอิสราเอล (ชาวยิว) จะตัดหนังหรือเสื้อผ้าของส่วนที่ถูกปัสสาวะ ซึ่งเป็นศาสนบัญญัติที่อัลลอฮฺกำหนดต่อพวกเขา ดังนั้น..เมื่อคนหนึ่งในพวกเขาห้ามปรามมิให้กระทำสิ่งดังกล่าว (นั่นคือการตัดหนังหรือเสื้อผ้าส่วนที่ถูกปัสสาวะ) เขาจะถูกทรมานในกุบูรฺ
ดังมีรายงานจากท่านอับดุรเราะฮฺมาน บินฮะซะนะฮฺ ท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า :
” พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดชาวยิวคนนั้นถูกทรมาน ทั้งนี้เพราะพวกเขาถูกสั่งใช้ให้เฉือนส่วนที่ถูกน้ำปัสสาวะ แต่คนๆ นี้กลับห้ามปรามพวกเขา (มิให้ปฏิบัติสิ่งที่อัลลอฮฺสั่งใช้) เขาจึงถูกทรมานในกุบูรฺ ” (บันทึกโดยอบูดาวูดและอันนะซาอีย์)
#การคดโกงหรือยักยอกสมบัติส่วนรวม (เช่น ทรัพย์เชลยจากสงคราม)
ท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ.ได้รายงานว่า :
“มีชายคนหนึ่งได้ให้ของขวัญท่านนบี ซ.ล.เป็นทาสชายที่ชื่อ “มิดอัม” ซึ่งครั้งหนึ่ง (ช่วงเกิดสงครามค็อยบัรฺ) ระหว่างที่ทาสคนนี้กำลังผูกพาหนะ (อูฐ) ให้แก่ท่านนบีอยู่นั้น เขาได้ถูกแทงด้วยธนูดอกหนึ่งทำให้เขาเสียชีวิต
บรรดาศอฮาบะฮฺจึงได้กล่าวว่า !!
“เขาย่อมได้รับสวรรค์เป็นแน่แท้”
แต่ท่านนบี ซ.ล.กลับกล่าวว่า !!
“ไม่เลย! ขอสาบานด้วยผู้ที่ชีวิตฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ แท้จริง ตะเกียงหนึ่งในทรัพย์เชลยที่เขาได้เอาไปในสงครามค็อยบัรฺนั้นยังมิได้ถูกนำมาแบ่ง และมันจะลุกโชนเป็นไฟเผาตัวเขานั่นเอง” เมื่อไ้ด้ยินดังนั้น มีชายคนหนึ่งได้นำรองเท้าชนิดหนึ่งที่เป็นทรัพย์เชลยในสงครามมาคืนท่านนบี (ซ.ล.)”
ท่านนบีได้กล่าวว่า !!
“รองเท้าจากไฟนรก” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม)
ท่านอับดุลลอฮฺ บินอัมรฺ ได้รายงานว่า :
“ในบรรดาทาสที่ทำหน้าที่ยกของใช้ของท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.)นั้น มีคนหนึ่งชื่อ กัรฺกะเราะฮฺ หลังจากที่เขาเสียชีวิต ท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า เขาเป็นชาวนรก บรรดาศอฮาบะฮฺจึงได้ไปค้นหา (สิ่งที่เขาครอบครอง) ก็ได้พบเสื้อคลุมตัวหนึ่งที่เป็นทรัพย์เชลยซึ่งเขาได้ขโมยไป” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์)
#การโกหกมดเท็จ
การโกหกเป็นลักษณะนิสัยหนึ่งที่น่าตำหนิซึ่งอัลลอฮฺ ตะอาลาและเราะสูลของพระองค์ทรงสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด โดยผู้ที่มีนิสัยดังกล่าวจะได้รับโทษอันแสนเจ็บปวดในอาคิเราะฮฺ
#อัลลอฮฺตรัสว่า:
“และพวกเขาตั้งสิ่งที่พวกเขาชิงชังให้อัลลอฮฺ และลิ้นของพวกเขากล่าวเท็จขึ้นว่าสำหรับพวกเขานั้นคือสิ่งที่ดีเยี่ยม โดยแน่นอนสำหรับพวกเขานั้นคือไฟนรก และพวกเขาจะถูกส่งล่วงหน้าไปก่อน” (อัน-นะหลฺ: 62)
การโกหกยังเป็นลักษณะนิสัยของพวกผู้ปฏิเสธและผู้กลับกลอก (คนจำพวกหน้าไห้วหลังหลอก)
#ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสว่า:
“และบรรดาผู้ที่ยึดเอามัสยิดหลังหนึ่งเพื่อก่อให้เกิดความเดือดร้อนและปฏิเสธศรัทธา และก่อให้เกิดการแตกแยกระหว่างบรรดามุอ์มินด้วยกัน และเป็นแหล่งส้องสุมสำหรับผู้ที่ทำสงครามต่อต้านอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์มาก่อน และแน่นอนพวกเขาจะสาบานว่า เราไม่มีเจตนาอื่นใดนอกจากที่ดี และอัลลอฮฺนั้นทรงเป็นพยานยืนยันว่า แท้จริงพวกเขานั้นเป็นพวกกล่าวเท็จอย่างแน่นอน”
#การละทิ้งละหมาด
ความสำคัญของการละหมาด ที่เราจะละเลยต่อหน้าที่อันนี้ไม่ได้เป็นอันขาด ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดก็ตาม และการลงโทษบางอย่างที่อัลลอฮฺ ได้ให้ท่านนบีมุฮัมมัด ได้เห็นมา ก็เพื่อจะให้นำไปบอกแก่ประชาชาติของท่าน ให้เห็นถึงความร้ายแรงของการละทิ้งการละหมาดเพื่อที่จะให้ประชาชาติของท่าน ได้ทำหน้าที่นี้อย่างครบถ้วนและถูกต้อง และเป็นบ่าวที่อยู่ในความเมตตาและโปรดปรานของพระองค์ทั้งในโลกดุนยาและอาคิเราะฮฺ
#การผิดประเวณี(ซินา)
ซินา คือการร่วมประเวณีนอกสมรส เป็นบาปใหญ่ประการหนึ่งที่อิสลามห้ามและเตือนไม่ให้มุสลิมเข้าใกล้การกระทำ นี้ เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่สกปรกและเลวร้ายยิ่ง
#อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า :
“และสูเจ้าทั้งหลายอย่าได้เข้าใกล้การกระทำซินา เพราะแท้จริงมันเป็นการกระทำที่โสมมและเลวร้ายยิ่ง” (อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัล-อิสรออฺ: 32)
จากโองการอัลกุรอานข้างต้นแสดงให้เห็นว่า มุสลิมต้องหลีกห่างจากสาเหตุต่างๆ ที่อาจจะนำเขาไปสู่การพลั้งเผลอกระทำผิดซินา ทั้งนี้การซินานั้นเป็นบาปใหญ่ที่มีโทษหนักทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
นอกจากนี้เราพบว่าในยุคสมัยปัจจุบัน มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจจะนำไปสู่การซินาได้โดยง่าย เช่น ภาพลามกตามสื่อต่างๆ สถานบริการที่มีอยู่อย่างมากมาย วัฒนธรรมการคบหาอย่างเสรีกับเพศตรงข้ามตามแบบฉบับของชาวตะวันตก ฯลฯ
#การกินดอกเบี้ย
บทบัญญัติเกี่ยวกับทรัพย์สินครอบคลุมสามด้าน คือ ความยุติธรรม ความเพิ่มพูน และความอธรรม ที่ยุติธรรมก็คือการซื้อขาย ที่เพิ่มพูนก็คือการบริจาค ส่วนที่อธรรมก็คือ ริบา (ดอกเบี้ย) เป็นต้น
#ริบา คือการเกินเลยในการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างสิ่งสองสิ่งที่มีสาเหตุริบาอยู่ในตัวของมัน
#หุก่มของริบา
1- ริบาถือเป็นบาปใหญ่ประเภทหนึ่ง และมันเป็นสิ่งที่ต้องห้ามในทุกศาสนาที่เป็นศาสนาแห่งฟากฟ้า(ศาสนาที่มีคัมภีร์จากพระผู้เป็นเจ้าซึ่งรวมศาสนายูดายของยิว ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม) เนื่องจากมันแฝงไปด้วยความเสียหายที่ใหญ่หลวง มันเป็นต้นเหตุของการเป็นศัตรูกันระหว่างมนุษย์ มันนำไปสู่การงอกเงยของทรัพย์สินผ่านการขูดรีดจากทรัพย์สินของคนจน มันเป็นการอธรรมต่อผู้ที่มีความจำเป็น ทำให้คนรวยกดขี่คนยากจน ปิดหนทางการบริจาคและการทำดีต่อผู้อื่น และทำลายความรู้สึกเมตตาสงสารต่อเพื่อนมนุษย์
#องค์อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า :
“และอัลลอฮฺทรงอนุมัติการซื้อขาย และทรงห้ามริบา(ดอกเบี้ย) ดังนั้นผู้ใดที่การตักเตือนจากพระเจ้าของเขาได้มายังเขา แล้วเขาก็เลิก(จากสิ่งที่ถูกห้าม) สิ่งที่ล่วงแล้วมาก็เป็นสิทธิของเขา(ไม่ต้องคืนหรือชดใช้) และเรื่องราวของเขานั้นมอบให้เป็นภาระของอัลลอฮฺ(ที่จะทรงพิจารณาเขา) และผู้ใดวกกลับไป(กระทำ)อีก ชนเหล่านี้แหละคือชาวนรกโดยที่พวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ 275)
2- ริบาเป็นการกินทรัพย์สินของเพื่อนมนุษย์โดยมิชอบ ทำให้การหารายได้ การทำธุรกิจ และการผลิตที่มนุษย์มีความต้องการเกิดการชะงักงัน ผู้ที่รับดอกเบี้ยทรัพย์ของเขาเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ทำให้เขาละทิ้งการทำธุรกิจ และการทำประโยชน์ที่มนุษย์จะได้ประโยชน์จากมัน จุดจบของผู้ที่ยุ่งเกี่ยวกับริบาทุกคนคือความถดถอยของทรัพย์สินเงินทอง
#ดังนั้นนี่คือสาเหตุของการถูกทรมานในหลุมฝังศพ
#เรียบเรียงโดย เฟาซี บิน รอยาลี