
ความว่า “โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ชนกลุ่มหนึ่งอย่าได้เยาะเย้ยชนอีกกลุ่มหนึ่ง บางทีชนกลุ่มที่ถูกเยาะเย้ยนั้นอาจจะดีกว่าชนกลุ่มที่เยาะเย้ย และบรรดาสตรีทั้งหลายอย่าได้เยาะเย้ย บรรดาสตรีด้วยกัน บางทีบรรดาสตรีที่ถูกเยาะเย้ยอาจจะดีกว่าบรรดาสตรีที่เยาะเย้ย (ในทัศนะของอัลลอฮฺตะอาลา) และพวกเจ้าอย่าได้ตำหนิตัวของพวกเจ้าเอง และอย่าได้เรียกกันด้วยฉายาที่ไม่ดี (เพราะทั้งหมดนี้เป็นบาป ) ช่างเลวร้ายยิ่งการทำบาปหลังจากมีอีหม่าน และผู้ใดไม่สารภาพผิด ชนเหล่านั้นคือบรรดาผู้อธรรม
โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงห่างไกลจากการคาดคิด, สงสัย แท้จริงการคิดบางอย่างเป็นบาป (และการคิดบางอย่างเป็นที่อนุญาต เช่น การคิดในทางที่ดีต่ออัลลอฮฺตะอาลา ดังนั้นจงตรวจสอบให้ดีในทุกโอกาส และในทุกการปฏิบัติต่อกัน อย่าคิดในทางที่ไม่ดีต่อกัน) และอย่าได้เสาะหาความบกพร่อง และพวกเจ้าอย่านินทาซึ่งกันและกัน คนหนึ่งจากพวกเจ้าชอบที่จะกินเนื้อพี่น้องของเขาที่ตายไปแล้วกระนั้นหรือ แน่นอนพวกเจ้าย่อมรังเกียจมัน และพวกเจ้าจงยำเกรงต่ออัลลอฮฺด้วยการสารภาพผิด แท้จริงอัลลอฮฺตะอาลาเป็นผู้ทรงรับการสารภาพผิด ผู้ทรงเมตตาเสมอ
โอ้มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้า (ทั้งหมด) จากผู้ชายคนหนึ่งและผู้หญิงคนหนึ่ง (หมายถึง ท่านนบีอาดัม (อลัยฮิสลาม) และพระนางฮาวา ในการสร้างพวกเจ้าทั้งหมดนั้นเท่าเทียมกัน) และต่อมาเราได้ทำให้พวกเจ้าเป็นเผ่า และตระกูลต่างๆ เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้จักกัน (ในการทำให้เกิดเป็นเผ่า เป็นตระกูลนี้ มีความดีหลายประการ ไม่ใช่เพื่อให้นำมาโอ้อวดกัน ) แท้จริงผู้ที่มีเกียรติที่สุดในหมู่พวกเจ้าในทัศนะของอัลลอฮฺตะอาลา คือผู้ที่มีความยำเกรงมากที่สุดในหมู่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่ง ทรงตระหนักยิ่ง”
{ฮู่ญู่ร๊อต:11-13}
อธิบาย : การนินทาเสมือนการกินเนื้อของพี่น้องที่ตายไปแล้ว หมายถึง การนินทานั้นสร้างความเจ็บปวดให้แก่พี่น้องเหมือนการ กัดกิน เนื้อของเขาขณะเขามีชีวิตอยู่ แต่เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดในขณะนี้ เพราะเขายังไม่รู้ว่าถูกนินทา เหมือนคนที่ตายไปแล้วย่อมไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของการถูกกัดกินเนื้อของเขา
มุนตะค็อบอะฮาดิษ