การเมืองในทะเลทราย

ADMIN

การเมืองในทะเลทราย
บรรจง บินกาซัน

การเมืองเป็นเรื่องของการเข้าสู่อำนาจที่จะนำมาซึ่งผลประโยชน์มากมายในภายหลัง การเมืองจึงเป็นเรื่องที่มีอยู่ในทุกยุคและทุกบริบทของสังคม

ยัษริบเป็นเมืองในคาบสมุทรอาหรับที่มีคนอาหรับหลายเผ่าอาศัยอยู่ นอกจากนี้แล้วยังมีชาวยิวอีกสามเผ่าอาศัยอยู่ด้วย เผ่าอาหรับที่ใหญ่ที่สุดในยัษริบมีสองเผ่าคือเผ่าเอาซ์และคอซรอจญ์ สองเผ่านี้ต่อสู่แย่งชิงความเป็นผู้นำในเมืองยัษริบมาเป็นเวลานาน และต่างเผ่าต่างไม่ยอมให้อีกเผ่าหนึ่งเป็นผู้นำ แต่หลังจากมีการเจรจาไกล่เกลี่ยกัน ในที่สุด สองฝ่ายต่างมีแนวโน้มที่จะให้ อับดุลลอฮฺ บินอุบัยย์หัวหน้าเผ่าคอซรอจญ์ขึ้นมาเป็นผู้นำ แต่ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ

ก่อนที่จะมีการแต่งตั้งอับดุลลอฮ์ บินอุบัยย์เป็นผู้นำ ชาวยัษริบกลุ่มหนึ่งจากสองเผ่าได้เดินทางไปทำฮัจญ์ที่มักก๊ะฮฺและได้พบกับนบีมุฮัมมัด หลังจากได้พูดคุยกัน ชาวยัษริบเกิดความประทับใจในคำสอนและบุคลิกของนบีมุฮัมมัด จึงอยากได้ท่านซึ่งเป็นคนนอกเผ่าไปเป็นผู้นำและสมาชิกจากสองเผ่ารับปากว่าจะให้เสรีภาพในเรื่องศาสนาและให้ความช่วยเหลือท่าน

นบีมุฮัมมัดสนใจข้อเสนอของชาวยัษริบเป็นอย่างมาก เพราะในเวลานั้น ท่านกำลังถูกต่อต้านอย่างหนัก แต่ท่านเพิ่งรู้จักชาวยัษริบเป็นครั้งแรก ท่านจึงไม่ได้ตามชาวยัษริบกลุ่มนั้นไปทันทีหลังจากพิธีฮัจญ์เสร็จสิ้น แต่ท่านต้องการดูว่าคนเหล่านี้มีความจริงใจต่อท่านเพียงใด

ในฤดูกาลทำฮัจญ์ปีต่อมา ปรากฏว่าชาวยัษริบกลุ่มนั้นได้มาทำพิธีฮัจญ์อีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ ได้พาชาวยัษริบที่หันมารับอิสลามอีกหลายคนมาด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ นบีมุฮัมมัดจึงเห็นความจริงใจของคนกลุ่มนี้และวางแผนที่จะอพยพไปยังเมืองยัษริบ ท่านได้ให้บรรดาสาวกของท่านเริ่มทยอยกันไปเป็นกลุ่มเล็กๆก่อนเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย เมื่อสาวกของท่านอพยพออกไปหมดแล้ว ท่านจึงอพยพตามไป

เมื่อไปถึงเมืองยัษริบ นบีมุฮัมมัดได้รับการต้อนรับด้วยความยินดีจากสาวกของท่านที่อพยพล่วงหน้าไปก่อนและจากชาวเมืองยัษริบ แต่ความยินดีของชาวเมืองไม่เป็นที่ยินดีด้วยสำหรับอับดุลลอฮฺ บินอุบัยย์ เพราะสำหรับเขาแล้ว นบีมุฮัมมัดคือผู้ทำให้เขาต้องสูญเสียโอกาสที่จะเป็นผู้นำ

แต่เมื่อกระแสความนิยมในตัวของนบีมุฮัมมัดมาแรง อับดุลลอฮฺ บินอุบัยย์จึงไม่สวนกระแสอย่างออกหน้าออกตา เขาเก็บความไม่พอใจไว้ภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มยินดีและเข้ารับอิสลามกับนบีมุฮัมมัด

อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากนั้น ธาตุแท้ของเขาก็ปรากฏออกมาเมื่อหัวหน้าชาวอาหรับมักก๊ะฮฺยกกองทัพประมาณสามพันคนมุ่งหน้ามายังยัษริบเพื่อทำสงครามล้างแค้นให้แก่ความพ่ายแพ้มุสลิมในสงครามก่อนหน้านี้

เมื่อรู้ข่าวความเคลื่อนไหวของข้าศึก นบีมุฮัมมัดได้เรียกหัวหน้าชาวเมืองยัษริบและคนหนุ่มประชุมหารือเรื่องการรับมือข้าศึก นบีมุฮัมมัดเห็นว่าควรตั้งรับข้าศึกในเมืองซึ่งอับดุลลอฮฺ อิบนุอุบัยย์เห็นด้วย แต่คนหนุ่มส่วนใหญ่ต้องการออกไปตั้งรับข้าศึกนอกเมือง นบีมุฮัมมัดเคารพเสียงส่วนใหญ่ จึงสั่งให้นักรบชาวยัษริบออกไปตั้งรับนอกเมือง ด้วยเหตุนี้ อับดุลลอฮฺ บินอุบัยย์จึงไม่พอใจท่าน แต่เขาก็ต้องทำตามเสียงส่วนใหญ่

ระหว่างนบีมุฮัมมัดนำทัพที่มีกำลังประมาณหนึ่งพันคนออกนอกเมือง อับดุลลอฮฺ บินอุบัยย์ได้พาคนของเขาจำนวน 300 คนถอนตัวออกจากกองทัพและผลของการรบครั้งนั้นมุสลิมได้รับความพ่ายแพ้ นบีมุฮัมมัดได้รับบาดเจ็บ อับดุลลอฮฺ บินอุบัยย์ถูกบรรดาสาวกของท่านเรียกว่า “คนตลบตะแลง”(มุนาฟิก) และสาวกของนบีมุฮัมมัดคิดจะกำจัดเขา แต่นบีมุฮัมมัดได้สั่งห้ามและบอกว่าอัลลอฮฺจะจัดการเขาเอง

เมื่ออับดุลลอฮฺ บินอุบัยย์ตาย ลูกชายของเขาซึ่งเป็นมุสลิมได้มาขอผ้าห่อศพจากนบีมุฮัมมัดและขอให้ท่านไปละหมาดขอพรให้ศพพ่อของเขา นบีมุฮัมมัดได้ให้เสื้อของท่านไปห่อศพของอับดุลลอฮฺ บินอุบัยย์ หลังจากนั้น เมื่อท่านจะลุกขึ้นไปเพื่อละหมาดขอพรให้ศพ สาวกคนหนึ่งของท่านได้ดึงเสื้อท่านไว้และถามว่า “ท่านจะไปละหมาดขอพรให้แก่ศพของเขาทั้งๆที่เขาเป็นคนตลบตะแลง?”

ในตอนนั้นเอง อัลลอฮฺได้มีบัญชามายังนบีมุฮัมมัดว่า “เจ้า(มุฮัมมัด)จงอย่าละหมาดขอพรให้แก่คนใดในหมู่พวกเขา(คนตลบตะแลง)ที่เสียชีวิต และจงอย่ายืนที่หลุมฝังศพของเขา เพราะพวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธอัลลอฮฺและนบีของพระองค์ และพวกเขาตายในขณะที่เป็นผู้ฝ่าฝืน” (กุรอาน 9:84)

ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason