การพยากรณ์อนาคตล่วงหน้าของท่านนบีมูฮำหมัด(ซล)

ADMIN

การพยากรณ์อนาคตล่วงหน้าของท่านนบีมูฮำหมัด(ซล)

สิ่งที่ยืนยันถึงการเป็นศาสนทูตในตัวของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ พิสูจน์ได้จากคำพยากรณ์ (วิวรณ์ที่รับจากพระเจ้า) ของท่านนบีที่มีต่อเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งเหตุการณ์เหล่านั้นได้ปรากฏขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ และส่วนหนึ่งจากคำพยากรณ์ล่วงหน้าของท่านนบีคือ

– การพยากรณ์ว่าเมืองเยรูซาเล็มจะถูกมุสลิมพิชิต[6]และหลังจากที่ท่านนบีได้เสียชีวิตลง ท่านอุมัรhหนึ่งในสาวกของท่านก็สามารถพิชิตนครเยรูซาเล็มคืนมาหลังจากที่อาณาจักรไบแซนไทน์ (โรมันตะวันออก) ได้ครองอำนาจมาอย่างช้านาน

– การพยากรณ์ว่าวันหนึ่งจะมีดวงไฟปะทุออกมาจากแผ่นดินฮิญาซ(ปัจจุบันกินอาณาบริเวณของประเทศซาอุดิอารเบียและคูเวต) โดยที่ประกายไฟดังกล่าวจะส่องไปที่ต้นคอของอูฐซึ่งอยู่ ณ เมืองบุศรอ (อยู่ในนครดามัสกัส ประเทศซีเรียปัจจุบัน) ท่านชิฮาบุดดีน อบูชามะฮฺ นักปราชญ์และ นักประวัติศาสตร์อิสลามได้บันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของท่านความว่า ในปี ฮ.ศ. (ศักราชอิสลาม) ที่ 654 ค่ำวันที่ 3 พฤหัสบดี เดือน ยะมาดิลอาคิร

ประชาชนและนักวิชาการในยุคนั้นต่างตื่นตะลึงเมื่อพบเห็นดวงไฟขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในเมืองมะดีนะฮฺ ประเทศซาอุดิอารเบีย ดวงไฟดังกล่าวส่องแสงประกายจนกระทั่งประชากรในเมืองบุศรอ (ดามัสกัส) ของประเทศซีเรียสามารถเห็นไฟดังกล่าวนั้นอย่างชัดเจน ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่แปลกประหลาดนี้ได้รับการจดบันทึกโดยนักประวัติศาสตร์ในยุคนั้นอย่างแพร่หลาย ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากดวงไฟจะปรากฏขึ้นแล้ว นครมะดีนะฮฺก็ประสบกับแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่องจวบกระทั่งถึงวันถัดมา (วันศุกร์) ผลของแผ่นดินไหวทำให้บ้านเรือน,ต้นไม้,ทรัพย์สินและประชาชนได้รับความเสียหายอย่างมาก

– ท่านนบีได้พยากรณ์ว่าภายในเวลา 30 ปีแรกหลังจากท่านจากไปจะมีการปกครองโดยตัวแทนของท่านที่มีความทรงธรรมเกิดขึ้น หลังจากนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้น โดยที่ระบอบกษัตริย์แห่งความเมตตาจะเข้ามาแทนที่ ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่าภายในเวลา 30 ปีแรกนับตั้งแต่วันที่ท่านนบีได้เสียชีวิตลง การปกครองในอาณาจักรอิสลามดำเนินไปภายใต้ผู้นำ 4 คนที่ล้วนแล้วแต่เป็นสาวกของท่านเอง คือท่านอบูบักรฺh, ท่านอุมัรh, ท่านอุษมานhและท่าน อะลีย์ ยุคนี้ถูกเรียกว่า “ระบอบเคาะลีฟะฮฺผู้ทรงธรรม” ซึ่งเป็นการปกครองที่อาศัยการเห็นชอบของประชาชนและไม่มีการสืบสันตติวงศ์แต่อย่างใด

หลังจากท่านอะลีย์เสียชีวิตลงหรือคิดเป็นเข้าสู่ปีที่ 31 หลังจากท่านนบีสิ้นชีพไป การปกครองในโลกอิสลามก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ระบอบเคาะลีฟะฮฺถูกแทนที่ด้วยระบอบกษัตริย์ของท่านมุอาวียะฮฺผู้เป็นสาวกของท่านนบีอีกท่านหนึ่ง ในยุคนี้แม้ประชาชนจะได้รับความสงบสุขกับการปกครองที่ทรงธรรมของท่าน แต่ระบบการสืบทอดอำนาจได้ถูกปรับให้เป็นระบอบกษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากท่าน มุอาวียะฮฺเสียชีวิตลง ยะซีดบุตรชายของท่านก็ขึ้นปกครองผ่านระบบการสืบสันตติวงศ์แบบระบอบกษัตริย์ ท่านมุอาวียะฮฺจึงถูกขนานนามว่าเป็น “ปฐมกษัตริย์แห่งโลกอิสลาม” ซึ่งสอดคล้องกับคำพยากรณ์ล่วงหน้าของท่านนบี

ตัวท่านนบียังได้พยากรณ์ต่อไปว่าหลังจากการปกครองในระบอบกษัตริย์ของท่านมุอาวียะฮฺจบลง โลกอิสลามจะเผชิญหน้ากับระบอบกษัตริย์ทรราช

ซึ่งประวัติศาสตร์ได้เป็นไปตามที่ท่านนบีพยากรณ์ไว้ เพราะนับตั้งแต่ยะซีดบุตรชายของท่านมุอาวียะฮฺขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ การเข่นฆ่าและสงครามปราบปรามประชาชนที่เห็นต่างก็เริ่มขึ้น กระทั่งท่านฮุซัยนฺหลานชายของท่านนบีก็โดนสังหารโหดด้วยเช่นกัน ระบอบกษัตริย์ภายใต้คมดาบเช่นนี้ดำเนินไปอย่างยืดเยื้อในโลกอิสลามจวบจนกระทั่งปัจจุบัน

ที่นำเสนอไปนั้นเป็นเพียงเสี้ยวเดียวของคำพยากรณ์อันสัตย์จริงจากวาจาของท่านนบีมุฮัมมัด นอกเหนือจากนี้สิ่งที่ยืนยันถึงการเป็น “นบี”

บทความโดย : อามีนา ลอนา