9 สิ่งในอัลกุรอาน ความจริงที่ได้พิสูจน์แล้ว

ADMIN

1. การกำเนิดชีวิต

น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกนี้ เราทุกคนรู้ดีว่าน้ำมีความสำคัญต่อชีวิต แต่อัลกุรอานนั้นได้กล่าวถึงความสำคัญของน้ำไว้อย่างน่าประหลาดใจ เพราะอัลกุรอานนั้นคือดำรัสของอัลลอฮฺที่มาช้านานก่อนที่วิทยาศาสตร์จะค้นพบความจริงนี้ ความว่า

เราได้สร้างสิ่งมีชีวิตทุกอย่างขึ้นมาจากน้ำ พวกเขายังไม่ศรัทธาอีกหรือ? ”   (อัลกุรอาน 21:30)

ในข้อนี้ น้ำจะถูกชี้ให้เห็นว่าเป็นที่มาของทุกชีวิต สิ่งมีชีวิตทั้งหมดนั้นมาจากเซลล์ และเซลล์นั้นประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ ตัวอย่างเช่น 80% ขอไซโทรพลาสซึม (วัสดุเซลล์พื้นฐาน) ของเซลล์สัตว์นั้นเป็นน้ำ ซึ่งถูกอธิบายในตำราทางชีววิทยา   ความจริงที่ว่าสิ่งมีชีวิตประกอบด้วยน้ำส่วนถูกค้นพบหลังจากการประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ ในขณะที่ทะเลทรายอันแห้งแล้งของประเทศอาหรับ “น้ำ” กลับเป็นสิ่งสุดท้ายที่คนจะคาดคิด

2. เหล็ก

เหล็กนั้นไม่ใช่วัตถุที่มีอยู่ในโลกนี้ตั้งแต่เดิม แต่เป็นสิ่งที่ถูกนำมาจากอวกาศผ่านการชนของอุกกาบาตร มันอาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่นี่คือความจริงที่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะค้นพบเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว ในขณะที่อัลกุรอานกล่าวเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเหล็กไว้ ความว่า

“ เราได้ส่งเหล็กที่มีความแข็งแกร่งโดยธรรมชาติลงมา และมันมีประโยชน์มากมายต่อมนุษยชาติ ”   (อัลกุรอาน 57:25)

อัลลอฮฺได้ใช้คำว่า ส่งลงมา สำหรับเหล็ก จึงเป็นการชี้ชัดว่าเหล็กนั้นไม่ได้เป็นวัตถุที่อยู่บนโลกนี้แต่เดิม แต่ถูกส่งลงมาเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ และความจริงที่ว่าเหล็กถูกส่งลงมายังพื้นดินจากอวกาศเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจรู้ได้ในสมัยศตวรรษที่ 7

3. การปกคลุมของชั้นฟ้า

ฟ้ามีบทบาทสำคัญในการปกป้องแผ่นดินและโลกใบนี้ หน้าที่ของชั้นฟ้าคือปกป้องโลกจากแสงแดดที่รุนแรง หากไม่มีชั้นฟ้านี้รังสีจากดวงอาทิตย์อาจทำลายทุกชีวิตบนโลกได้ นอกจากนี้ชั้นฟ้ายังทำหน้าที่เสมือนผ้าห่มที่ห่อหุ้มโลกไว้เพื่อป้องกันความหนาวเย็น   อุณหภูมิที่อยู่เหนือท้องฟ้าอยู่ที่ประมาณ  -270 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมินี้ไปถึงโลกแล้ว โลกทั้งใบจะถูกแช่แข็งทันที

ท้องฟ้ายังปกป้องชีวิตบนโลกด้วยการทำให้พื้นผิวร้อนขึ้นโดยการเก็บรักษาความร้อน (ก๊าซเรือนกระจก) และลดอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืน  นี่เป็นบางส่วนของคุณประโยชน์ในการปกป้องมากมายจากท้องฟ้า จากคำดำรัสของอัลลอฮฺ ความว่า

 “ เราได้ทำให้ท้องฟ้าเป็นเพดานป้องกัน แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงผินหลังจากสัญญาณต่างๆ ของเรา ”   (อัลกุรอาน 21:32)

คัมภีร์อัลกุรอานชี้ให้เห็นถึงการปกคุลมของท้องฟ้าอันเป็นเครื่องหมายในการมีอยู่ของอัลลอฮฺ ซึ่งคุณสมบัติในการป้องกันของชั้นฟ้าเพิ่งถูกค้นพบโดยการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 20

4. ภูเขา

อัลกุรอานให้เราสนใจกับลักษณะสำคัญของภูเขา ความว่า   “ เรามิได้ทำให้แผ่นดินเป็นที่พำนักหรือ? และภูเขาเป็นเสาค้ำยันหรือ? ”   (อัลกุรอาน 78: 6-7)

อัลกุรอานระบุว่าภูเขานั้นมีรากลึก และคำว่า “ค้ำยัน” เป็นคำอธิบายที่ถูกต้องแล้วสำหรับภูเขา  หนังสือชื่อ Earth โดยนักธรณีวิทยา Frank Press อธิบายว่า ภูเขานั้นเป็นเหมือนเสาเข็มและถูกฝังอยู่ใต้ผิวโลก   “เอเวอร์เรส” เทือกเขาที่มีความสูงที่สุดในโลก มีความสูงประมาณ  9 กิโลเมตรเหนือพื้นดิน และมีรากลึกกว่า 125 กิโลเมตร

ความจริงที่ว่าภูเขามี ‘ราก’ ที่ฝังลึกเช่นรากไม้นี้ ยังไม่ถูกรู้จักจนกระทั่งหลังจากการพัฒนาทฤษฎีของเปลือกโลกในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20

5. การขยายตัวของจักรวาล

ในเวลาที่วงการดาราศาสตร์ยังคงมีความเชื่อแบบดั้งเดิมว่าจักรวาลหยุดนิ่งนั้น การขยายตัวของจักรวาลถูกอธิบายไว้ในอัลกุรอาน ความว่า   “ และเราเป็นผู้สร้างจักรวาลด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์ของเรา และมันก็ได้ขยายแผ่กว้างออกไป ”   (อัลกุรอาน 51:47)

ความจริงที่ว่าจักรวาลกำลังขยายตัวได้ถูกค้นพบในศตวรรษที่ผ่านมา นักฟิสิกส์ที่นามว่า Stephen Hawking ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขา “A Brief History of Time” ว่า “การค้นพบว่าจักรวาลกำลังขยายตัวเป็นหนึ่งในการปฏิวัติทางปัญญาที่ยิ่งใหญ่ของศตวรรษที่ 20”   ซึ่งอัลกุรอานได้กล่าวถึงการขยายตัวของจักรวาลนี้ก่อนที่จะมีการประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์เสียอีก

6. วงโคจรของดวงอาทิตย์

ในปี ค.ศ. 1512 นักดาราศาสตร์นามว่า Nicholas Copernicus ได้กล่าวถึงทฤษฎีของเขาว่า ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนที่อยู่กลางระบบสุริยะและดาวเคราะห์ต่างๆ นั้นหมุนวนรอบดวงอาทิตย์   ซึ่งความเชื่อที่ว่าดวงอาทิตย์หยุดนิ่งอยู่เฉยๆนั้น  เป็นความเชื่อในหมู่นักดาราศาสตร์มานานจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่ตอนนี้ความจริงทางวิทยาศาสตร์เป็นที่ยอมรับแล้วว่าดวงอาทิตย์ไม่ได้อยู่นิ่ง แต่กำลังเคลื่อนที่อยู่ในวงโคจรรอบศูนย์กลางของกาแล็กซี่ทางช้างเผือกของเรา

อัลกุรอานกล่าวถึงการโคจรของดวงอาทิตย์ไว้ก่อนที่ดาราศาสตร์สมัยจะรู้ถึงความจริงนี้ ความว่า   “ คือพระองค์ผู้ทรงสร้างกลางคืนและกลางวัน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ โดยพวกมันได้ล่องลอยอยู่ในวงโคจรของมัน ”   (อัลกุรอาน 21:33)

7. มหาสมุทร

อัลกุรอานได้ใช้ภาพเพื่อให้เห็นถึงความหมายอันลึกซึ้ง ที่จะอธิบายถึงสถานะของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ ความว่า   “ หรือเปรียบเสมือนความมืดมนทั้งหลายในท้องทะเลลึก มีคลื่นซ้อนคลื่นท่วมมิดตัวเขา และเบื้องบนของมันก็มีเมฆหนาทึบซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า เมื่อเขาเอามือของเขาออกมา เขาแทบจะมองไม่เห็นมัน และผู้ใดที่อัลลอฮ์ไม่ทรงทำให้เขาได้รับแสงสว่าง เขาก็จะไม่ได้รับแสงสว่างเลย ”   (อัลกุรอาน 24:40)

เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าคลื่นเกิดขึ้นเฉพาะบนพื้นผิวของมหาสมุทรเท่านั้น อย่างไรก็ตามนักสมุทรศาสตร์ได้ค้นพบว่ามีคลื่นภายในอยู่ใต้พื้นผิวมหาสมุทร คลื่นเหล่านี้ไม่สามารถมองเห็นได้จากสายตามนุษย์และสามารถตรวจพบได้โดยอุปกรณ์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

อัลกุรอานกล่าวถึงความมืดมิดในมหาสมุทรลึก เหนือความมืดนั้นคือคลื่น และเหนือคลื่นนั้นมีเมฆปกคลุมอยู่ คำอธิบายนี้ไม่ได้โดดเด่นเพียงเพราะอธิบายถึงคลื่นที่อยู่ภายในของมหาสมุทร แต่ยังเป็นเพราะอธิบายถึงความมืดที่อยู่ลึกลงไปในมหาสมุทร ซึ่งมนุษย์นั้นสามารถดำน้ำได้ไม่เกิน 70 เมตรโดยไม่ต้องหายใจ แสงจะอยู่ที่ความลึกนั้น แต่ถ้าเราลงไป 1000 เมตร ข้างล่างนั่นจะมืดสนิท   เมื่อ 1400 ปีที่ผ่านมาไม่มีเรือดำน้ำหรืออุปกรณ์พิเศษใดๆ ที่สามารถค้นพบคลื่นภายในมหาสมุทรหรือความมืดมิดอันนี้เลย

8. การเคลื่อนไหวและการโกหกของมนุษย์

หัวหน้าเผ่าเผด็จการผู้โหดเหี้ยมนามว่า  Abu Jahl   ซึ่งอาศัยอยู่ในยุคของท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) อัลลอฮฺทรงเปิดเผยโองการในอัลกุรอานเพื่อตักเตือนเขา ความว่า

“ มิใช่เช่นนั้น ถ้าเขายังไม่หยุดยั้ง เราจะจิกเขาที่ขม่อมอย่างแน่นอน ขม่อมที่โกหกที่ประพฤติชั่ว ”   (อัลกุรอาน 96: 15-16)

อัลลอฮฺไม่ทรงเรียกบุคคลนี้ว่าเป็นคนโกหก แต่ได้เรียกหน้าผากของเขา (สมองส่วนหน้า) ว่า “โกหก” และ “บาป”  เพื่อเตือนให้เขาหยุด   โองการนี้มีความสำคัญอยู่สองเหตุผลด้วยกัน

ประการแรกคือ สมองส่วนหน้าของคนเรามีหน้าที่ในการเคลื่อนไหวโดยเจตนา ซึ่งเราเรียกบริเวณนี้ว่าหน้าผาก ผลการวิจัยเกี่ยวกับหน้าที่ของสมองส่วนหน้าคือ แรงจูงใจ ความรอบคอบในการวางแผน และการเคลื่อนไหวจะเกิดขึ้นที่สมองส่วนหน้านี้ ซึ่งตรงกับบริเวณหน้าผากของเรานั่นเอง

ประการที่สอง จากการศึกษาจำนวนมากได้แสดงให้เห็นว่าบริเวณเดียวกันนี้ มีหน้าที่ในการโกหก ตัวอย่างจากผลการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย อาสาสมัครถูกถามคำถามในระหว่างการสอบปากคำทางคอมพิวเตอร์ พบว่าเมื่ออาสาสมัครกำลังโกหก จะมีการทำงานเพิ่มขึ้นของสมองส่วนหน้าอย่างมีนัยยะสำคัญ

ส่วนหน้าของสมองมีหน้าที่ในการเคลื่อนไหวและโกหก เป็นสิ่งที่อัลกุรอานบอกเอาไว้ ก่อนที่ข้อมูลเหล่านี้จะถูกค้นพบด้วยอุปกรณ์การถ่ายภาพทางการแพทย์ที่พัฒนาขึ้นในศตวรรษที่ 20

9. ต่อมรับรู้ความเจ็บปวด

เป็นเวลานานที่มนุษย์เข้าใจว่าการที่เรารู้สึกเจ็บปวดนั้นขึ้นอยู่กับสมองสั่งการ อย่างไรก็ตามมีการค้นพบว่า มีต่อมรับความเจ็บปวดอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง หากปราศจากต่อมรับความรู้สึกนี้ มนุษย์ก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวด เราลองมาพิจารณาดำรัสของอัลลอฮ์ ความว่า

แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อสัญญาณต่างๆ ของเรานั้น เราจะให้พวกเขาเข้าไปในไฟนรก คราใดที่ผิวหนังพวกเขาสุก เราก็เปลี่ยนผิวหนังให้แก่พวกเขาใหม่ซึ่งมิใช่ผิวหนังเดิม เพื่อพวกเขาจะได้ลิ้มรสการลงโทษ แท้จริงอัลลอฮฺ เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ ”   (อัลกุรอาน 4:56)

อัลลอฮฺทรงบอกกับผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาว่า เมื่อพวกเขาอยู่ในนรก ผิวหนังของพวกเขาจะถูกไฟนรกเผาไหม้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ จากนั้นพระองค์จะให้ผิวหนังขึ้นมาใหม่เพื่อให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดต่อไป   อัลกุรอานได้บอกอย่างชัดเจนว่าความรู้สึกปวดนั้นขึ้นอยู่กับผิวหนัง และการการค้นพบต่อมรับความเจ็บปวดในผิวหนังเพิ่งถูกค้นพบทางชีววิทยา

 

และนี่เป็นเพียงข้อเท็จจริงบางส่วนในคัมภีร์อัลกุรอาน และเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องทราบว่า “อัลกุรอานไม่ใช่หนังสือวิทยาศาสตร์” แต่ทุกสิ่งในอัลกุรอานนั้นสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ อันเป็นข้อเท็จจริงที่อัลลอฮฺผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ และผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งได้ตรัสเอาไว้ และส่งผ่านมายังศาสนทูตองพระองค์ ท่านนบีมูฮัมมัด (ซ.ล.)

เช่นเดียวกัน อัลกุรอานได้กล่าวเกี่ยวกับโลกใบนี้ไว้อย่างครอบคลุม กล่าวถึงธรรมชาติ รวมถึงจิตวิญญาณ และความต้องการต่างๆ ของมนุษย์ อัลกุรอานได้บอกถึงเป้าหมายของชีวิตและเหตุผลที่มนุษย์ถูกสร้างมา อัลกุรอานคือทางนำแห่งมวลมนุษยชาติ ซึ่งผู้ที่ศรัทธาและทำตามจะได้รับผลตอบแทนที่ดีงามในโลกหน้า ส่วนผู้ที่ปฏิเสธนั้นจะต้องถูกลงโทษอย่างแสนสาหัสในขุมนรก

เราจะให้พวกเขาได้เห็นสัญญาณทั้งหลายของเราในขอบเขตอันไกลโพ้นและในตัวของพวกเขาเอง จนกระทั่งจะเป็นประจักษ์แก่พวกเขาว่า อัลกุรอานนั้นเป็นความจริง ยังไม่พอเพียงอีกหรือ ที่พระเจ้าของเธอนั้นทรงเป็นพยานต่อทุกสิ่ง  (อัลกุรอาน 41:53)