ประวัติของท่านอุมัร บิน อัลค็อฏฏอบ

ADMIN

ประวัติของท่านอุมัร บิน อัลค็อฏฏอบ

ท่านอุมัร เป็นบุตรของอัลคอฏฏอบ บุตรของนุไฟอฺ มีฉายานามว่า อัลฟารุก ( ผู้จำแนกระหว่างความจริงกับความเท็จ ) มีชื่อเล่นว่า อบูฮัฟสฺ ท่านสืบเชื้อสายมาจาก ตระกูลตะดียฺ จากเผ่ากุเรช ท่านเกิดหลังจากท่านนบีมูฮำหมัด 13 ปี ท่านได้รับการเลี้ยงดูให้มีความกล้าหาญ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และพูดจริง

ท่านนบีมูฮำหมัด  ประกาศศาสนาอิสลาม ท่านอุมัรเป็นผู้หนึ่งที่ต่อต้านอย่างรุนแรง และได้ทำร้ายต่อบรรดามุสลิม จนกระทั่งอัลเลาะห์ทรงเปิดหัวใจของท่านให้นับถือศาสนาอิสลาม ท่านจึงกลายเป็นกำลังสำคัญ ในการปกป้องศาสนาอิสลาม และมุสลิมจากการทำร้ายของกาฟิร ลักษณะและอุปนิสัยของคอลีฟะห์อุมัร คอลีฟะห์อุมัรเป็นผู้ที่มีร่างกายสูงใหญ่ แข็งแรง มีผิวขาวปนแดง เสียงดังไม่ค่อยหัวเราะ อ้วนท้วม มีความเด็ดขาดและยุติธรรม มีสติปัญญาเฉียบแหลม รังเกียจความอธรรม ยืนหยัดในความจริง มีความบริสุทธิ์ในศาสนา การดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์ เมื่อคอลีฟะห์อบูบักรป่วยลง ท่านได้เรียกบรรดาซอฮาบะห์ของท่านร่อซูล มาเพื่อปรึกษาหารือ ถึงผู้ที่จะดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์คนต่อไป ท่านได้เสนอให้ท่านอุมัรเป็นคอลีฟะห์เนื่องจากว่าท่านอุมัร เป็นผู้ที่มีความเด็ดขาด มีความยุติธรรม ยืนหยัดอยู่กับความจริง และกลัวว่าจะเกิดความแตกแยกระหว่างมุสลิม บรรดาซอฮาบะห์ของท่านนบีมูฮำหมัด เห็นชอบด้วยที่จะให้ท่านอุมัรเป็นคอลีฟะห์สืบต่อจากท่านอบูบักร

อุปนิสัยของท่านอุมัร บิน อัลค็อฏฏอบ

ท่านอุมัร ได้รับฉายานามว่า “อัลฟารุก” หมายถึง ผู้จำแนกระหว่างความจริงกับความเท็จ ทั้งนี้เนื่องจากการนับถือศาสนาอิสลามของท่าน ได้ทำให้ศาสนาอิสลามและบรรดามุสลิมมีความเข้มแข็ง มีเกียรติภูมิ ท่านเป็นผู้ที่มีความยุติธรรม มีความกล้าหาญ ไม่มีความกลัวในการพูดความจริง ท่านเป็นผู้ที่เอาใจใส่ในสภาพความเป็นอยู่ของบรรดามุสลิม โดยตรวจตราดูทุกข์สุข ของพวกเขาทั้งกลางวัน และกลางคืน

ประวัติศาสตร์ได้บันทึกความยุติธรรมของคอลีฟะห์อุมัรไว้ ซึ่งเป็นบทเรียนแก่ผู้ปกครองรุ่นหลัง กล่าวคือ

คนผู้แทนของกิสรอ ผู้ปกครองเปอร์เซีย ได้เดินทางมายังเมืองมะดีนะห์ เพื่อจะได้ทราบถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคอลีฟะห์อุมัร และบรรดามุสลิม เมื่อเดินทางมาถึงเมืองมะดีนะห์ ก็ถามหาคอลีฟะห์อุมัร ประชาชนทั้งหลายบอกว่า ท่านอยู่นอกเมือง คณะผู้แทนของกิสรอ จึงออกไปค้นหาคอลีฟะห์อุมัร ก็เห็นว่าท่านนอนอยู่บนพื้นใต้ต้นไม้ เมื่อพวกคณะผู้แทนเปอร์เซีย เห็นสภาพความเป็นอยู่แบบสมถะ ของท่านอุมัร พวกเขากล่าวว่า :

นี่คือ สภาพของผู้ชายที่บรรดากษัตริย์ทั้งหลายต่างเกรงขาม ท่านเป็นผู้ยุติธรรม ดังนั้นท่านจึงปลอดภัย ดังนั้น ท่านจงนอนหลับให้สบายเถิด”

ท่านอุมัร มีรูปร่างสูงใหญ่ อ้วนท้วม ผิวขาว มีเสียงดัง ไม่ค่อยหัวเราะ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความเข้มงวดในเรื่องการอธรรม มีความเด็ดขาดเกี่ยวกับความจริง มีความบริสุทธิ์ใจในศาสนา

การตายชะฮีดของท่านอุมัร บิน อัล-ค็อฏฏอบ

หะดีษซึ่งบันทึกโดย อัล-บุคอรียฺ จาก อัมรฺ บิน มัยมูน เล่าว่า:

ฉันได้พบท่าน อุมัร บิน อัล-ค็อฏฏอบ ที่เมืองมะดีนะฮฺก่อนที่ท่านจะถูกลอบสังหารเพียงไม่กี่วัน โดยท่านได้กล่าวว่า

“หากอัลลอฮฺทรงให้ฉันปลอดภัย แน่นอนว่าฉันจะดูแลจัดการบรรดาหญิงหม้ายชาวอิรักอย่างดี ให้พวกนางมิต้องพึ่งพาผู้ใดอีกหลังจากฉัน”

สี่วันผ่านไปท่านก็ถูกทำร้าย โดยในเช้าวันนั้นขณะที่ยืนตั้งแถวเตรียมละหมาด ระหว่างฉันกับท่านมีเพียง อับดุลลอฮฺ บิน อับบาส เท่านั้นที่ยืนคั่นกลางอยู่โดยปกติแล้วเมื่อท่านอุมัรเดินผ่านระหว่างแถวสองแถว

ท่านจะกล่าวว่า “พวกท่านจงจัดแถวให้ตรงและชิดกัน”

กระทั่งมองไม่เห็นช่องว่างระหว่างแถว ท่านก็ก้าวไปข้างหน้าและกล่าวตักบีร รู้สึกว่าวันนั้นท่านอ่านสูเราะฮฺยูซุฟ หรือไม่ก็สูเราะฮฺอัน-นะหฺล์ ในร็อกอัตแรก จนกระทั่งผู้คนได้มาละหมาดกันอย่างพร้อมเพรียง

จากนั้น ท่านก็กล่าวตักบีร ทันใดนั้นฉันได้ยินท่านกล่าวขึ้นว่า “มีสุนัขลอบกัดฉัน!” (หมายถึงชายชาวโซโรแอสเตอร์ -มาญูซีย์ จากเปอร์เซีย – ที่ลอบทำร้ายท่าน) ซึ่งเป็นจังหวะที่ชายคนนั้นจ้วงแทงท่าน แล้วชายนอกศาสนาผู้นั้นก็วิ่งหนีไปพร้อมกับมีดซึ่งมีสองคม โดยที่เขากราดแทงทุกคนที่เขาวิ่งผ่านทั้งทางด้านซ้ายมือและขวามือ จนมีผู้ถูกแทงถึงสิบสามคน เสียชีวิตไปเจ็ดคน เมื่อมุสลิมคนหนึ่งเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นจึงโยนเสื้อคลุมใส่ชายคนนั้น เมื่อคนร้ายเห็นว่าตนคงถูกจับได้แน่ก็เชือดคอฆ่าตัวตาย

ท่านอุมัรจึงจับมือ อับดุรเราะหฺมาน บิน เอาฟฺ เพื่อให้ขึ้นนำละหมาดแทนท่าน โดยคนที่อยู่ใกล้ๆท่านอุมัรต่างก็เห็นเหตุการณ์ดังที่ฉันเห็น ส่วนผู้คนที่อยู่ส่วนอื่นๆของมัสยิดไม่รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น พวกเขาเพียงแต่ไม่ได้ยินเสียงของท่านอุมัร จึงพากันกล่าวว่า “สุบหานัลลอฮฺ สุบหานัลลอฮฺ”

ท่านอับดุรเราะหฺมานนำละหมาดแทนโดยอ่านเพียงสั้นๆ เมื่อเสร็จสิ้นการละหมาดท่านอุมัรก็กล่าวถามว่า “โอ้ อิบนุอับบาส ท่านช่วยดูหน่อยสิว่าผู้ใดลอบสังหารฉัน”

อิบนุอับบาสหายไปครู่หนึ่งแล้วก็กลับมาพร้อมกับกล่าวว่า “เขาคือทาสของอัล-มุฆีเราะฮฺ”

ท่านอุมัรถามต่อว่า “ที่เป็นช่างฝีมือนะหรือ?”

อิบนุอับบาสตอบว่า “ใช่ครับ”

ท่านอุมัรจึงกล่าวว่า “อัลลอฮฺทรงสาปแช่งเขา! ฉันเคยทำดีต่อเขาแท้ๆ ขอบคุณอัลลอฮฺที่ไม่ทรงให้ฉันต้องตายด้วยน้ำมือของผู้ที่อ้างตัวเป็นมุสลิม ท่านและบิดาของท่านนั้นชอบที่จะให้มีพวกทาสต่างชาติต่างศาสนาในเมืองมะดีนะฮฺ (โดยท่านอับบาสนั้นเป็นผู้ที่มีทาสในครอบครองมากที่สุด)”

อิบนุอับบาส จึงกล่าวแก่ท่านอุมัรว่า “หากท่านประสงค์ จะให้ฉันฆ่าพวกเขาก็ได้”

ท่านอุมัรตอบว่า “มาพูดเอาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วละ ในเมื่อพวกเขาได้เรียนรู้ภาษาของพวกท่าน ละหมาดโดยผินหน้าไปทางกิบลัตของพวกท่าน และได้ประกอบพิธีหัจญ์เฉกเช่นพวกท่านแล้ว”

จากนั้นท่านอุมัรก็ถูกหามไปยังบ้านของท่าน โดยพวกเราก็ตามไปด้วย ในวันนั้นประหนึ่งว่าผู้คนไม่เคยประสบกับความเศร้าโศกมาก่อนเลย บางคนก็กล่าวว่า “ไม่เป็นไรน่า” บ้างก็กล่าวว่า “ฉันเป็นห่วงท่านเหลือเกิน”

จากนั้นมีผู้นำน้ำอินทผลัมหมักมาให้ เมื่อท่านอุมัรดื่ม น้ำนั้นก็ไหลออกจากรอยแผลบริเวณท้องของท่าน อีกสักพักก็มีคนนำนมมาให้ ท่านก็ดื่ม แต่นมก็ไหลออกทางแผลที่ท้องของท่านอีก ผู้คนจึงเข้าใจว่าท่านน่าจะใกล้สิ้นใจแล้ว จากนั้นพวกเราก็เข้าไปหาท่าน โดยผู้คนต่างก็พากันมาเยี่ยมและกล่าวสรรเสริญชื่นชมท่าน

จากนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวแก่ท่านว่า “โอ้ผู้นำของบรรดามุอ์มินผู้ศรัทธา ท่านจงเตรียมรับข่าวดีจากอัลลอฮฺเถิด ท่านนั้นเป็นสหายของท่านเราะสูล เป็นบุคคลที่มีบทบาทและความประเสริฐในอิสลามดังที่ท่านทราบดี ท่านขึ้นปกครองเป็นผู้นำโดยผดุงความยุติธรรม ท้ายที่สุดท่านก็ได้สิ้นชีพในหนทางของอัลลอฮฺ”

ท่านอุมัรกล่าวตอบว่า “ฉันหวังแต่เพียงว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นการเพียงพอสำหรับฉัน”

เมื่อชายคนนั้นหันหลังกลับ ปรากฏว่าชายผ้าของเขายาวระพื้น ท่านอุมัรจึงกล่าวว่า “พวกท่านช่วยไปตามเด็กหนุ่มคนนั้นกลับมาหาฉันหน่อย”

เมื่อเขามาถึงท่านก็กล่าวแก่เขาว่า “หลานชายเอ๋ย จงยกชายผ้าของเธอให้สูงขึ้น เสื้อผ้าของเธอจะได้ไม่หลุดลุ่ย และยังเป็นการยำเกรงยิ่งกว่า ณ ที่อัลลอฮฺ”

จากนั้นท่านกล่าวว่า “โอ้ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อุมัร ช่วยตรวจสอบหนี้สินที่ฉันมีให้หน่อย”

เมื่อได้คำนวณแล้วพบว่าท่านมีหนี้สินอยู่ประมาณ 86,000 ดิรฮัม ท่านอุมัรจึงสั่งเสียว่า

“หากว่าทรัพย์สินของครอบครัวอุมัรมีเพียงพอ ก็จงชดใช้หนี้สินนี้ด้วยทรัพย์สินเหล่านั้น หากมีไม่พอก็จงหยิบยืมจากลูกหลานตระกูล อะดียฺ บิน กะอับ หากยังไม่เพียงพออีก ก็จงขอจากเผ่ากุเรช และอย่าได้ขอจากผู้อื่นนอกเหนือจากพวกเขาเหล่านี้ เมื่อได้แล้วก็ช่วยใช้หนี้จำนวนนี้แทนฉันด้วยเถิด

และลูกจงไปหาท่านหญิงอาอิชะฮฺ มารดาแห่งปวงผู้ศรัทธา แล้วแจ้งแก่นางว่า: อุมัรได้ฝากสลามถึง อย่าได้กล่าวว่าผู้นำแห่งบรรดาผู้ศรัทธา (อะมีรุลมุอ์มินีน) ฝากสลามถึง เพราะในวันนี้พ่อไม่ใช่ผู้นำอีกต่อไป และจงแจ้งแก่นางว่า อุมัร บิน อัล-ค็อฏฏอบ ขออนุญาตฝังร่างเคียงคู่กับสหายรักทั้งสองของเขา (ท่านนบีและท่านอบูบักรฺ)”

เมื่ออิบนุอุมัรให้สลามและขออนุญาตแล้วก็เข้าไปหาท่านหญิงอาอิชะฮฺ และพบว่านางกำลังนั่งร้องไห้ เขาจึงกล่าวแก่นางว่า “อุมัร อิบนุ ค็อฏฏอบ ได้ฝากสลามถึงท่าน และขออนุญาตฝังร่างเคียงคู่กับสหายรักทั้งสองของเขา”

ท่านหญิงอาอิชะฮฺ กล่าวตอบว่า “ฉันเคยต้องการฝังร่างของตัวเองเคียงข้างท่านเราะสูล แต่วันนี้ฉันเสียสละให้ก็ได้”

เมื่ออับดุลลอฮฺ อิบนุอุมัร กลับมายังบ้านท่านอุมัร ผู้คนก็ได้แจ้งให้ท่านอุมัรทราบว่า อับดุลลอฮฺ อิบนุอุมัรได้กลับมาถึงแล้ว

ท่านอุมัรจึงกล่าวว่า “พวกท่านช่วยประคองฉันขึ้นหน่อย”

ชายคนหนึ่งจึงช่วยพยุงร่างท่านขึ้น แล้วท่านก็กล่าวถามว่า “ได้ความว่าอย่างไรบ้าง?”

อับดุลลอฮฺ กล่าวตอบว่า “เป็นดังที่ท่านปรารถนา โอ้ท่านผู้นำแห่งบรรดาผู้ศรัทธา นางอนุญาตครับ”

ท่านอุมัรกล่าวตอบว่า “ขอสรรเสริญต่ออัลลอฮฺ ไม่มีสิ่งใดสำคัญสำหรับฉันมากไปกว่านี้อีกแล้ว หากว่าฉันสิ้นใจไป จงแบกร่างของฉันไปที่นั่นเถิด จากนั้นจงกล่าวให้สลาม และจงกล่าวว่า อุมัร บิน อัล-ค็อฏฏอบ ขออนุญาต หากว่านางอนุญาต ก็จงฝังร่างของฉัน ณ ที่นั้น แต่หากว่านางปฏิเสธก็จงนำร่างฉันไปฝังที่สุสานของมุสลิมเถิด”

(บันทึกโดย อัล-บุคอรียฺ หะดีษเลขที่ 3700)

ดร.อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์

ท่านอุมัรเสียชีวิตที่นครมะดีนะห์ เนื่องจากถูกอะบูลุลุอะหฺ ทาสจากเปอร์เซีย สังหาร เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 644 ร่างของท่านอุมัรถูกฝังที่มัสยิดนะบี นครมะดีนะห์ ใกล้กับที่ฝังของท่านบีมุฮัมมัด (ศ) และท่านอะบูบักรฺ (ร)